เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ธ.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม เราอุตส่าห์ขวนขวายกันมา ทุกคนเกิดมาก็ปรารถนาความสุขทั้งนั้นน่ะ ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แต่โดยธรรมชาติของมันมีบวกมีลบ มันก็มีสุขมีทุกข์คู่กันไป ความมีบวกมีลบ มีสุขมีทุกข์คู่กันไป เราต้องมีสติมีปัญญาไง

เวลามีสติปัญญานะ ปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้าเรามีสติปัญญาเท่าทันความคิดของเรา เห็นไหม

ชีวิตของเรา เราเริ่มต้นตั้งแต่เราเกิด เริ่มต้นตั้งแต่เรามีคุณค่า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ไง เพราะการเกิดเป็นมนุษย์มันสร้างคุณงามความดีได้ทั้งสิ้น เพราะมีเรา สรรพสิ่งในโลกนี้มีหมด ถ้าไม่มีเราเสียอย่าง สรรพสิ่งในโลกนี้ก็มีของมันอยู่อย่างนั้นแหละ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา สิ่งที่มีคุณค่า สิ่งที่มีคุณค่าคุณค่าคือชีวิตของเรา ถ้าชีวิตของเรา เราเกิดมาแล้วเรามีคุณค่า เราทำสิ่งใดก็เป็นประโยชน์กับเรา เราทำสิ่งใดแล้วมันไม่สมความปรารถนา เราทำสิ่งใดแล้วขาดตกบกพร่องไป อันนั้นมันก็เป็นทดสอบพิสูจน์ว่าความมานะพยายามของเรามีมากน้อยขนาดไหน

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้นน่ะ

เวลาหลวงตาท่านพูดประจำนะ ไอ้คนที่ทำงานๆ ว่าทุกข์ว่ายาก อย่างเพิ่งพูด ยังไม่ได้มาประพฤติปฏิบัติ

เวลามาประพฤติปฏิบัติเขาทุ่มเททั้งชีวิต เอาชีวิตนี้แลกมานะ เราเอาชีวิตนี้เข้าแลกเลย เอาชีวิตเข้าแลกเพราะอะไร เวลามันทำสิ่งใดแล้วไม่สมความปรารถนา เอาชีวิตเข้าแลก เวลาจะเป็นคุณธรรมขึ้นมามันบอกว่าเดี๋ยวจะตายๆ นะ เวลาจะตาย เราขอดูก่อนว่าอะไรจะตายก่อน ขอพิสูจน์ความตายเลย เวลาพิสูจน์ความตายมันก็ไม่มีอะไรตายเลย

ถ้าคนมีสติมีปัญญาขึ้นมา มีกำลังขึ้นมา กิเลสมันตาย กิเลสมันตาย เวลากิเลสมันตาย กิเลสมันตายต่อหน้าเรานะ ถ้าเราไม่รู้จักว่ากิเลสมันตาย เรารู้จักกิเลสเราได้อย่างไร

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งนี้มีบุญมีกุศล ชีวิตของเรามีคุณค่ามากๆ

ทางโลกเขาพยายามประพฤติปฏิบัติ เขาพยายามทำมาหากินกันเพื่อผลความสุขในชีวิตของเขา อันนั้นมันก็เป็นเรื่องความคิดของวิทยาศาสตร์ ความคิดของโลกไง ความคิดของโลกต้องให้โลกเจริญขึ้น ชีวิตของเราก็ต้องเจริญขึ้น

แต่ความเจริญขึ้น เจริญขึ้นในพระพุทธศาสนา ความเจริญขึ้นๆ ชีวิตนี้เป็นธรรมดา ถ้ามันเป็นธรรมดา สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริงนะ

เวลาหลวงตาท่านสอน เราจะไปปลูกบ้านอยู่บนถนนหนทางไม่ได้ ถนนหนทางนี้เขาเอาไว้สัญจรกันไปมา เราจะไปปลูกบ้านบนถนนหนทางนั้นไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน สัจจะความจริงขึ้นมา มนุษย์เกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเป็นเรื่องธรรมดาขึ้นมาแล้ว ถ้าคนมันทุกข์มันยากขึ้นมา มันไม่ตายมันก็ทำชีวิตให้มันตายไป ชีวิตมันตายไป ตายไปด้วยความทุกข์ความยาก ชีวิตตายไปด้วยการกระทำของตน ทำให้ตายๆ

แต่ของเรา เราไม่ต้องไปทำให้มันตายหรอก มันต้องตายโดยสัจจะโดยความจริงของมัน ถ้ามันจะเป็นสัจจะความจริงของมัน ชีวิตนี้เกิดมาแล้วเราได้สร้างคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน

เราทำหน้าที่การงานของเราเพื่อชาติเพื่อตระกูลของเรา เพื่อชีวิตของเรา เพื่อครอบครัวของเรา แต่ตัวหัวใจของเรา ตัวหัวใจของเราที่มันทุกข์มันยากที่มันว้ามันเหว่ เวลามันจะพลัดพรากจากกัน เห็นไหม เวลาเราเกิดขึ้นมา เวลามีคนเกิดขึ้นมามีแต่ความชื่นชมยินดี เวลาคนจะพลัดพรากจากไปมีแต่ความอาลัยอาวรณ์

เวลาคนเกิดมาเขาเฉลิมฉลอง เวลาคนตายขึ้นไป เขาเอาดอกไม้ธูปเทียนไปคารวะไปบูชา เวลาซากศพ นี่พูดถึงสัจจะความจริงมันเป็นอย่างนั้น ถ้าสัจจะความจริงเป็นอย่างนั้น เรามีสติมีปัญญา ชีวิตนี้คือเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดานะ เราอย่าไปซีเรียส อย่าไปกดดัน อย่าไปเครียด แต่ถ้ามันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมา ให้แก้ไขๆ

เวลาพระเราธุดงค์ไปในป่า มันไปแล้วมันหลงป่า มันไม่มีจะกิน มันทุกข์มันยาก ขออย่างไรก็ได้ขอให้รอดออกจากป่านี้ไป ถ้ารอดออกจากป่านี้ไป เราก็ยังมีชีวิต ดำรงชีวิตนี้ต่อเนื่องไปนะ นี่มันมีอุปสรรคไปทั้งนั้นน่ะ ไม่ใช่ว่า แหม! พอบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วมันจะเลอเลิศไปหมด

เวลาบวชเป็นพระ หลวงตาท่านบอกเลย มันบวชแต่รูปแบบไง มันไม่ได้บวชกิเลส มันไม่ได้บวชหัวใจของมัน ถ้ายังไม่ได้บวชขึ้นมา เราบวชเป็นพระแล้วเราต้องมาประพฤติปฏิบัติ เราต้องมาแก้ไขดัดแปลง

พอดัดแปลงขึ้นมา เวลาพระบวชมาแล้ว ไอ้นี่มันเป็นข้อเท็จจริงนะ แต่ไม่ได้เรียกร้องให้ใครสงสารทั้งสิ้น เวลาบวชเป็นพระแล้ว อยากได้ร้อนก็ได้เย็น อยากได้เย็นก็ไม่ได้อะไรเลย อยากได้อะไร ไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดสมความปรารถนาทั้งสิ้น

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาหลวงตาท่านไปธุดงค์ของท่าน ท่านบอกว่า ไปเลือกอยู่บ้านน้อยๆ สองหลังสามหลังก็พอ พอที่เขาจะใส่บาตรให้เราได้ดำรงชีพได้เท่านั้นก็พอ

เวลาเท่านั้นก็พอ เห็นไหม เราหวังแค่นั้นน่ะ หวังแค่ให้มีข้าวตกใส่บาตรดำรงชีพเท่านั้นน่ะ เราไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านั้นเลย

แต่ในประเพณีวัฒนธรรมไง เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว หวังสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดตอบสนองทั้งสิ้น นี่ถ้ามันไปคาดหวังตรงนั้นไง

แต่เราบวชมาแล้วเราไม่ได้คาดหวังอย่างนั้น เราคาดหวังสถานที่สงบสงัด เราคาดหวังว่ามีครูบาอาจารย์ มีคนคอยชี้นำเรา คอยบอกทางให้เรา เราพยายามขวนขวาย พยายามขวนขวายไปกับธรรม ใครจะเป็นคนชี้นำเรา

เวลาพระบวชขึ้นมา พระที่อ่อนแอ “เราบวชมาแล้วเราเป็นคนอนาถา ไม่มีพ่อไม่มีแม่ไง”

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง “ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ” แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมกับพระอานนท์ไง “อานนท์ เธอบอกเขานะ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ ถ้าเราล่วงลับไปแล้ว เราล่วงลับไปแล้ว”

เวลาหลวงตาท่านสอน เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพธรรมวินัย อย่าเหยียบอย่าย่ำ อย่าทำลาย อย่าลบหลู่ อย่าดูหมิ่น แล้วเราเคารพบูชา

ถ้าเคารพบูชานะ คือเคารพตนเอง ถ้าคนเคารพตนเอง เวลาเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนามันจะมีคุณค่าขึ้นมา

เพราะเราไม่เคารพตัวเราเองไง นู่นก็ไม่เป็นไร นี่ก็ไม่เป็นไร ไอ้นี่ก็ไม่มีคุณค่า

ใจเอ็งก็ไม่มีคุณค่า ชีวิตเอ็งก็ไม่มีคุณค่า ความเพียรของเอ็งก็ไม่มีคุณค่า ทำสิ่งใดก็ไม่มีคุณค่า

แต่ถ้ามันมีคุณค่าขึ้นมา เราเคารพธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาธรรม ศึกษามาๆ ทรงจำธรรมวินัย ทรงจำธรรมวินัยแล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจของเรา ถ้ามันจะประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงในใจของเรา

วันนี้วันหยุดยาว วันหยุดยาวเขารื่นเริง เขาชื่นชมกันนะ

นี่ก็เหมือนกัน วันหยุดยาว วันหยุดยาว เขาอยู่นั่นมันเป็นเรื่องโลกๆ มันก็มีเสาร์อาทิตย์มาตลอด วันพระไม่มีหนเดียว ปีใหม่ไม่มีหนเดียว เราอายุหกเจ็ดสิบก็ปีใหม่ก็หกเจ็ดสิบรอบแล้ว แล้วชีวิตยังดีขึ้นหรือไม่ ถ้าชีวิตดีขึ้น ไอ้นั่นมันเป็นสมมุติ มันเป็นปฏิทินน่ะ

แต่ความจริงๆ ของเรา เราจะหาความสุขความสงบในใจของเรา นี่สมบัติของเราแล้ว เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จะเดินมากเดินน้อยแค่ไหนเราทำของเราเอง แล้วถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เราจะมหัศจรรย์ในใจของเราเอง

ถ้าใจของเรามหัศจรรย์ขึ้นมา เราจะมีคุณค่าที่นั่นไง ถ้ามีคุณค่าที่นั่นแล้วนะ จะลงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเคารพบูชาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะซาบซึ้งธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาคนทุกข์คนยากไปวัดไปวาไปสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ สนทนาธรรมแล้วมันก็สบายใจ มันสบายใจ เห็นไหม

แต่ถ้าเราฝึกหัดของเราขึ้นมา เราค้นคว้าหาใจเราเจอ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีสติมีปัญญา มีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา

เวลาเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา ก็เหมือนเรา เราจับต้องสิ่งใด เรามีหม้อมีไห เราได้หุงหาอาหารแล้วเราก็ได้กินข้าว เราไม่มีหม้อมีไห พระไม่มีหม้อมีไห มีแต่บาตร เวลาบิณฑบาตมาด้วยบุญกุศลของเขา ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา เขาทำมาหากินของเขา เขาตักใส่บาตรของเขา นี่คือบุญกุศลของเขา

เราภิกขาจาร ภิกขาจารมาเพื่อดำรงชีพในโลกนี้ไง ดำรงชีพ ดำรงชีพแบบธรรมและวินัยไง เวลาทำภัตกิจแล้วเข้าสู่ทางจงกรม เราจะนั่งสมาธิภาวนา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ บุญกุศลน่ะของเขา ของเขาเพราะเราได้กำลังอันนั้นมาไง เราได้กำลังจากปัจจัย ๔ นั้นมา แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

ถ้าเราพยายามฝึกหัดขึ้นมาให้มันเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา ถ้าเราช่วยตัวเราเองได้ เราจะช่วยผู้อื่นได้ เห็นไหม เราช่วยตัวเราเองไม่ได้เลย อยากจะช่วยคนโน้น อยากจะช่วยคนนี้ แล้วทำไมมึงไม่หันกลับไปมองตัวมึงบ้างล่ะ ตัวมึงนั่นน่ะอย่าทำให้เป็นภาระคนอื่น ตัวมึงนั่นล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนมันพึ่งไม่ได้ ตนพึ่งไม่ได้จะไปสอนคนอื่น สอนเขาทำไม สิ่งที่เอ็งสอนถูกต้องหรือไม่ มันเป็นจริงหรือไม่ มันไม่เป็นความจริงเลย ถ้าเป็นความจริงแล้วนะ สงบสงัด

เวลามีร่มโพธิ์ร่มไทรนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวสอนสามแดนโลกธาตุ ร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่ที่ไหน นกกามันไปอาศัย ไม่มีต้นไม้ต้นไหนวิ่งไปหาโยมหรอก ไม่มีต้นไม้ต้นไหนวิ่งไปให้เขาอาศัย ไม่มี มีแต่เขาต้องวิ่งมาอาศัยต้นไม้นั้น ต้นไม้นั้นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไง

นี่ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนพึ่งตัวเองได้ ถ้ามันพึ่งตัวเองได้ คนอื่นก็พึ่งพาอาศัยได้ ถ้ามันพึ่งตัวเองไม่ได้ ใครจะไปพึ่งพาอาศัย มันพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นน่ะ

เราไม่ต้องทำขนาดนั้น เราเกิดมาแล้วอยากร่ำอยากรวย เราเกิดมาแล้วเราอยากมีความประสบความสำเร็จในชีวิต

การประสบความสำเร็จในชีวิต กรรมเก่า กรรมใหม่ ถ้าเราได้ทำคุณงามความดีของเรามา เราทำสิ่งใดของเรามา คนเราจริตนิสัยไง นิสัยของคนที่มั่นคง นิสัยของคนที่มีสติปัญญา เขาไม่เชื่อคน เขาไม่เชื่อใครง่ายๆ มีสิ่งใดในโลกนี้เขาใช้สติปัญญาของเขา เขาพิจารณาของเขาก่อน

ถ้าคนมันอ่อนแอ เขาไม่ต้องเชื่อ วิ่งไปให้เขาหลอกเลย ที่ไหนวิ่งไปให้เขาหลอกเลย อยากได้อยากดี มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความโลภ ความโลภอยากได้โดยที่ไม่มีเหตุผล

แต่ธรรมะไม่สอนอย่างนั้น กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่ธรรมะของครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศนาว่าการ อย่าไปเชื่อ ฟังธรรมๆ มา ฟังธรรมเพื่อกระตุ้นขึ้นมาไง เพื่อกระตุ้น

ชีวิตนี้มีคุณค่า ให้ความเป็นไปของเรามีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าขึ้นมา คุณค่าที่ไหน คุณค่าคือชีวิตธรรมดานี่ไง ชีวิตธรรมดา

ชีวิตของเราอยู่บ้านอยู่เรือน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พี่ๆ น้องๆ คุยกันรู้เรื่อง ถ้าคุยแล้วเขาไม่รู้เรื่องก็กรรมของสัตว์

เวลาหลวงตาท่านสอนไง ถ้ามันมีสิ่งใดขึ้นมา มันเป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของเขา แต่เรามีจุดยืนของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราจะทำคุณงามความดีของเรา ทำเพื่อเราๆ ทำเพื่อเรา ทำตรงไหน

ศีล ๕ ไง ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ไง ธรรมและวินัยเป็นตัวตัดสินไงว่ามันถูกต้องดีงามหรือไม่

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันมา นั่งลงไปแล้วก็เถียงกันปากเปียกปากแฉะ อันนั้นถูก อันนั้นผิด อันนั้นถูก อันนั้นผิด

เอ็งยังไม่ทำอะไรเลย ไม่มีถูกไม่มีผิดเพราะเอ็งยังไม่ได้ทำ แต่ถ้าเอ็งทำไปแล้วสิ เอ็งทำไปแล้วถ้ามันถูก เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าเอ็งผิดก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ

แล้วคนเราเกิดมามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน มันคาดมันหมายไปหมดน่ะ ถ้ามันคาดมันหมายไปหมด นั่นน่ะสมุทัย สมุทัย ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ สิ่งที่คาด ที่หมาย ที่จินตนาการ ต้องละให้หมด

แล้วถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม เราทำอาหาร อาหารมันต้องสุกโดยอุณหภูมิ อาหารมันสุกด้วยการกระทำของเรา มันไม่ได้สุกด้วยการนั่งมอง มันไม่ได้สุกด้วยการอยากให้มันสุก ไม่มีหรอก เป็นไปไม่ได้ แล้วถ้ามันไม่สุก ไม่สุกเพราะอะไรล่ะ ไม่สุกเพราะเอ็งทำผิดพลาดไง

นี่ไง ถ้ามันทำไปแล้วมันถึงจะเป็นสัมมา มิจฉา สัมมา มันคือการกระทำไปแล้ว ศึกษามาๆ ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาท่องปากเปียกปากแฉะนะ แต่มันเป็นที่ชื่นชมของสังคม

ศาสนาเราจะมั่นคง มั่นคงเพราะการศึกษา ศึกษามาเป็นผู้ที่มีความรู้ ศึกษามาแล้ว เหล้าไม่พอขายในท้องตลาดก็แล้วกันน่ะ ศึกษามาแล้วต้องฉลองๆ ต้องดื่ม นี่ศึกษามาไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ สงบสงัด พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์

ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านสงบสงัดของท่าน เพราะอะไร องค์ศมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เลยนะ ภิกษุทั้งหลาย “เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

แล้วเอ็งไปดื่ม เอ็งไปกินเหล้าเมายานั่นน่ะ มันยิ่งกว่าประมาทอีก เพราะอะไร เพราะการกิน พอการกินเหล้าเมายาไปแล้วมันเมา มันขาดสติ มันพลั้งเผลอ มันเป็นเหตุทำให้ชีวิตเราหยำเปแล้วกันแหละ

แล้วนี่เอ็งไม่ประมาทหรือ แล้วธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยืนยันไว้ชัดๆ แล้วก็ศึกษามากันทุกคน แล้วศึกษามาน่ะ ก็ฉลองๆ ฉลองเพื่อสังคม

สังคม ดูสิ เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านพูด ท่านไม่เคยผิดศีลเลย ทำไมเช้าขึ้นมาวัดท่านแน่นเอี๊ยดไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เคยฉลองกับใครเลย แต่ทุกคนไปขอพรจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ทำไมมันต้องฉลองๆ เลย เฮ้ย! เราจะฉลองๆ นี่ไง ศึกษามาปากเปียกปากแฉะ เพราะศึกษาแล้วไม่ทำไง แต่ถ้ามันทำขึ้นมาแล้วนะ มันมีจุดยืนของมัน

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตมันสงบระงับเข้ามาแล้วนะ เวลาครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว วิหารธรรมๆ ถ้ามีคุณธรรมมันมีวิหารธรรม

เราบอกว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องธรรมดา นี่ธรรมดา ธรรมดามันก็แปรสภาพไง ธรรมดามันก็อนิจจังไง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติก็เป็นอนัตตาไง 

แต่เวลามันสมุจเฉทปหานไปแล้วไง นั่นสัจธรรมไง นั่นคุณธรรมไง ไม่มีการไปและการมา มันมีคุณค่ายิ่งกว่าธรรมดาอีก เหนือธรรมดาด้วย เหนือสิ่งต่างๆ ในวัฏฏะ สุดยอด แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ

มันอยู่ที่ในตู้พระไตรปิฎกไง ในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ในการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานี่ไง ให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ขวนขวายขึ้นมาไง หาความสุขไง

ทุกคนก็ปรารถนาความสุขไง ทุกคนก็อยากประสบความสำเร็จไง แล้วถ้าทุกคนเป็นพระอรหันต์หมดเลยมันจะมีความสุขขนาดไหน ความสุขๆ น่ะ

ถ้าจะให้พรก็ให้พรอยากให้ทุกคนเป็นพระอรหันต์หมดเลย แล้วอะไรเป็นล่ะ เป็นยี่ห้อใช่ไหม เป็นแบรนด์ใช่ไหม เป็นไว้หลอกเขาใช่ไหมว่าเป็นพระอรหันต์ๆ หันไปเอาเงินเอาทองเขาใช่ไหม หันให้เขายกย่องสรรเสริญใช่ไหม หันให้คนเขานับถือใช่ไหม

ทำไมมึงไม่หันเข้าไปในหัวใจมึงล่ะ หันให้มันเป็นชีวิตธรรมดา สุดยอด

ความจริงๆ เป็นอย่างนั้น เพราะสิ่งแร่ธาตุในสามโลกธาตุนี้ไม่มีสิ่งใดมีคุณค่าเท่ากับคุณธรรมในใจอันนั้น แล้วถ้าเขามีคุณธรรมในใจอันนั้น ทำไมเขาแส่ออกมาหาสิ่งเปลือกๆ ภายนอกล่ะ แสดงว่าในใจนั้นไม่มีคุณธรรม ไม่มีคุณค่า

ถ้ามีคุณค่านะ จะเคารพธรรมและวินัย ไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ชาวพุทธเราน่ะ จะเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธมามกะจะเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อนอกจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วในใจมันบอกมีคุณธรรม พฤติกรรมที่มันกระทำอยู่ในพระพุทธศาสนาหรือไม่ อยู่ในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ อยู่ในการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพยายามให้ปฏิบัติบูชาๆ ให้มีคุณธรรม ให้มีศีล ให้มีสมาธิ ให้มีปัญญา

ให้มีสมาธินะ ให้มีหลักในหัวใจนะ ให้เป็นผู้ที่ฉลาดนะ ไม่ให้เป็นผู้ที่คนอื่นมาหลอกลวงได้นะ ให้มีความเท่าทันในความคิดของตนนะ ให้ชีวิตของตนมีความสุขความสงบในใจของตน นี่พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้

เวลาไปทำบุญกุศล ทำบุญก็ทำกันเพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมๆ นี้ก็ฟังให้หัวใจมันฉลาดขึ้นมาไง อย่าเป็นคนโง่ อย่าให้คนมากล่อม อย่าให้คนมาชักมานำ เรามีความรู้สึกในใจของเรา แล้วเราพิจารณาของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา

เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล แล้วเอ็งเคยใช้ไหม เอ็งเคยใช้ปัญญาบ้างหรือเปล่า เอ็งแห่ตามกันไปแห่ตามกันมา เอ็งไม่ใช้ความคิดเลยหรือ

คิดตรงข้ามสิ ถ้ามันเป็นอย่างนี้มันก็ต้องมีฝ่ายตรงข้าม ถ้ามีขาวต้องมีดำ ถ้ามีผิดต้องมีถูก ถ้ามันจริงก็คู่กับไม่จริง แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงจากประสบการณ์ของเรา จากความจริงในการกระทำของเรา มันจะเป็นปัญญาของเรา เอวัง